
คุณอยากเรียนรู้การใช้งาน WordPress ใช่หรือไม่
ถ้าใช่ คุณมาถูกที่แล้วครับ ผมจะสอนวิธีใช้ WordPress เบื้องต้นให้ครับ
แต่ก่อนจะเริ่มเรียน ผู้อ่านต้องทำสามสิ่งนี้ให้เรียบร้อยก่อนนะครับ
- เช่าเว็บโฮสติ้ง
- จดโดเมน
- ติดตั้ง WordPress
หากยังไม่ได้ทำสามสิ่งนี้ ให้ทำตามบทความข้างล่างก่อนครับ
วิธีการสร้างเว็บไซต์ (พร้อมรูปประกอบ)
หรือถ้าคุณต้องการทดลองใช้งาน WordPress แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย ก็ไม่มีปัญหาครับ ผมแชร์วิธีติดตั้ง WordPress บนเครื่องคอมของตนเอง (ไม่ต้องเช่าโฮส) ไว้แล้ว เข้าไปอ่านและทำตามได้เลย
หากทำขั้นตอนเหล่านั้นเรียบร้อยแล้ว เรามาเริ่มเรียน WordPress กันเลยครับ
สรุปเนื้อหา
- ทำความรู้จัก Dashboard ของ WordPress
- การตั้งค่าเบื้องต้นให้ WordPress
- สอนใช้งาน WordPress Editor
- จัดการไฟล์ด้วย Media Library
- Posts กับ Pages ต่างกันอย่างไร
- สร้างหน้า Home
- สร้างเมนูให้เว็บไซต์
- เพิ่มความสามารถพิเศษให้เว็บไซต์ ด้วย Plugins
- เปลี่ยน Theme (ดีไซน์ของเว็บไซต์)
- ปรับแต่งดีไซน์เว็บไซต์ด้วย Customizer
- เพิ่มอะไรก็ได้ใน sidebar หรือ footer ด้วย Widgets
- สร้างเว็บเพจสวยๆ แบบมืออาชีพด้วย Page Builder
ทำความรู้จัก Dashboard ของ WordPress
Dashboard คือส่วน “หลังบ้าน” ของเว็บไซต์ มีไว้ให้เจ้าของเว็บแก้ไขหรือปรับแต่งเว็บไซต์ (สร้างเว็บเพจ, แก้เมนู, เปลี่ยนดีไซน์, ฯลฯ)
วิธีการเข้า Dashboard ก็ง่ายๆ สมมุติเว็บคุณชื่อ mywebsite.com ให้คุณพิมพ์ mywebsite.com/wp-admin บนเว็บเบราว์เซอร์ แล้วล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ได้มาจากขั้นตอนการติดตั้ง WordPress (หากลืมรหัสผ่านให้กดคำว่า Lost your password?)

เมื่อลงชื่อเข้าใช้แล้ว จะเห็น Dashboard หน้าตาประมาณนี้ครับ

หน้า Dashboard นี้จะเป็นส่วนที่คุณเข้าไปใช้ตลอด เพราะงั้นให้บุ๊คมาร์คไว้เลย
การตั้งค่าเบื้องต้นให้ WordPress
หากคุณกดเลือก Settings ที่เมนูด้านซ้ายของ Dashboard คุณจะเห็นว่า settings ของ WordPress มีการแบ่งหมวดหมู่ไว้ชัดเจน (general, writing, reading, etc.)

มีค่า settings ที่ผมแนะนำให้แก้ไขตามนี้
ตั้งค่าภาษาเว็บไซต์
ผมแนะนำว่าส่วนของเว็บไซต์ที่คนทั่วไปเห็น (ส่วนผู้เยี่ยมชม) ให้ตั้งเป็นภาษาไทย แต่ส่วน Dashboard (ส่วนหลังบ้าน) ให้ตั้งเป็นภาษาอังกฤษ
เหตุผลที่ Dashboard ควรเป็นภาษาอังกฤษ เพราะว่า
- คำแปลภาษาไทยหลายคำของเมนูใน Dashboard ไม่ค่อยสื่อความหมายเท่าไหร่
- บทความเกี่ยวกับ WordPress ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ หากเราใช้ภาษาเดียวกันจะทำตามได้ง่ายกว่า
การเปลี่ยนภาษา ให้ทำตามนี้ครับ
- ไปที่เมนู Settings >> General >> Site language แล้วเลือก “ไทย” จากนั้นกด Save Changes (ทั้งเว็บไซต์และ Dashboard จะกลายเป็นภาษาไทย)
- ไปที่เมนู ผู้ใช้ >> ข้อมูลส่วนตัวของคุณ >> ภาษา แล้วเปลี่ยนจาก “ใช้ภาษาหลักของเว็บ” เป็น “English” กดปุ่มอัพเดต (Dashboard จะกลับมาเป็นภาษาอังกฤษ)
ตั้งค่า Timezone
WordPress มีการบันทึกค่าวันที่และเวลาต่างๆ (เช่น วันเวลาที่เผยแพร่บทความ)
เพื่อให้เว็บแสดงวันเวลาถูกต้อง ให้ไปที่เมนู Settings >> General แล้วเซ็ตค่า Timezone เป็น Bangkok (ไม่มี Thailand นะครับ ไม่ต้องเสียเวลาหา)

ตั้งค่า Permalinks (โครงสร้าง URL)
โดยปกติ เวลาเราสร้างบทความใหม่ URL ของหน้านั้นจะมีโครงสร้างเป็นแบบนี้ครับ
https://noobmarketer.com/2018/10/01/สร้างเว็บไซต์-wordpress/
จะเห็นว่าส่วน “วันที่” (2018/10/01) ใน URL นั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลย นอกจากจะทำให้ URL ยาวขึ้นและดูรก
ผมแนะนำให้แก้ไข โดยไปที่เมนู Settings >> Permalinks เลือก Post Name แล้วกด Save Changes

เท่านี้ URL ของหน้าต่างๆ ในเว็บไซต์คุณก็จะดูไม่รกแล้วครับ
สอนใช้งาน WordPress Editor
เรามาลองเขียนบทความแรกให้เว็บไซต์คุณกันครับ
ให้ไปที่ Dashboard แล้วเลือกเมนู Posts >> Add New จะมี text editor โผล่ขึ้นมา

ตัว editor ของ WordPress ใช้งานง่ายมาก นอกจากตัวหนังสือแล้ว คุณสามารถใส่รูปภาพ, วิดีโอ, ไฟล์เสียง, หรือ block ประเภทอื่นๆ ในบทความของคุณได้
สมมุติคุณต้องการใส่รูปภาพ ให้กดเครื่องหมายบวก (+) แล้วเลือก Image (ดูรูปด้านล่าง)

จะมี block สำหรับรูปภาพแสดงขึ้นมา คุณสามารถใส่รูปโดยการอัพโหลดรูปภาพ หรือเลือกรูปใน Media Library (เดี๋ยวผมจะอธิบาย Media Library ทีหลัง)

Block ใน WordPress มีมากมายหลายประเภท ที่ผมใช้บ่อยๆ มีดังนี้
- Paragraph ย่อหน้า/วรรค
- Heading หัวข้อ
- List ลิสต์รายการ
- Separator เส้นคั่น
- Spacer พื้นที่ว่าง
- Button ปุ่ม
- Custom HTML แทรกโค้ด HTML
คุณสามารถค้นหา block ที่ต้องการโดยพิมพ์ keyword ลงในช่อง Search for a block (ดูรูปด้านล่าง)

ถ้าคุณอยากลบ block อันไหน ก็ให้คลิกที่ block อันนั้น จากนั้นกดเครื่องหมายจุดสามอัน (ดูรูปประกอบด้านล่าง) แล้วเลือก Remove Block

คุณสามารถปรับเปลี่ยนหน้าตาของ block ได้ อย่างในรูปด้านล่าง ผมทำการปรับแต่ง paragraph (อันที่ลูกศรชี้อยู่) ให้ตัวหนังสือใหญ่ขึ้นและมีสีขาว และปรับพื้นหลังเป็นสีเขียว

วิธีการปรับแต่ง block ก็ง่ายๆ ครับ
- คลิก block ที่ต้องการปรับแต่ง
- จะมี popup เล็กๆ ลอยขึ้นมา เพื่อให้เราทำการปรับแต่ง block (ตามรูปด้านบนเลยครับ)
- นอกจาก popup แล้ว ถ้าคุณสังเกตุที่ด้านขวามือ จะมีตัวเลือกให้ทำการปรับแต่งเพิ่มเติมอีกด้วย
หลังจากเขียนบทความเสร็จแล้ว ให้กดปุ่ม Publish บทความของคุณจะปรากฏบนหน้าแรกของเว็บไซต์คุณทันที (หรือถ้ายังเขียนไม่เสร็จ คุณสามารถกด Save Draft เพื่อ save บทความไว้ก่อนได้)

จัดการไฟล์ด้วย Media Library
มือใหม่ WordPress บางคนเข้าใจว่า เวลาเราใส่รูปภาพในบทความ รูปนั้นจะเก็บอยู่ในเฉพาะบทความนั้นๆ (ถ้าต้องการใช้รูปเดิมในบทความอื่นๆ เราต้องอัพโหลดรูปใหม่)
ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดครับ
จริงๆ แล้ว เวลาที่คุณอัพโหลดรูปภาพเข้าไปในบทความใดก็ตาม รูปภาพนั้นจะถูกเก็บไว้ใน Media Library (เข้าผ่านเมนู Media >> Library)

Media Library คือ “พื้นที่ส่วนกลาง” ที่เก็บรูปภาพทั้งหมดของเว็บไซต์คุณไว้ (รวมทั้งไฟล์เสียงและวิดีโอ)
หมายความว่ารูปภาพแต่ละรูป สามารถใช้ในบทความกี่บทความก็ได้ ถ้าคุณต้องการใช้รูปที่เคยอัพโหลดไปแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องอัพโหลดรูปซ้ำอีกครั้งนะครับ คุณสามารถเลือกใช้รูปภาพจาก Media Library ได้เลย

นอกจากนั้น ก่อนอัพโหลดรูป คุณควรเปลี่ยนชื่อไฟล์รูปให้สื่อความหมาย หรือใส่ keywords ที่เกี่ยวข้องกับรูปลงไป (เช่น ตั้งชื่อรูปว่า siam-paragon-bangkok.JPG แทนที่จะเป็น DSC_0033.JPG)
การตั้งชื่อไฟล์ให้สื่อความหมาย จะทำให้ค้นหารูปใน Media Library ง่ายขึ้นครับ (โดยเฉพาะเมื่อเว็บคุณเริ่มมีไฟล์รูปภาพเยอะ)

Posts กับ Pages แตกต่างกันอย่างไร
หน้าเว็บของ WordPress มี 2 ประเภท คือ posts และ pages
มือใหม่ WordPress มักจะสับสนระหว่างหน้าเว็บสองประเภทนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรสร้าง page และเมื่อไหร่ควรสร้าง post
ผมจะอธิบายความแตกต่างให้ฟังคร่าวๆ ดังนี้
Posts คืออะไร
Posts คือหน้าเว็บที่เรียงลำดับตามวันที่ (จากใหม่สุดไปหาเก่าสุด) ด้วยการเรียงลำดับแบบนี้ ทำให้ posts ใหม่ๆ มีคนเห็นได้ง่ายกว่า posts เก่าๆ

จุดเด่นของ posts ที่ pages ไม่มี คือคุณสามารถจัดหมวดหมู่ posts ได้ โดยการใช้ categories (หมวดหมู่)
ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ผมมีเนื้อหาหลักเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์ ผมเลยสร้าง categories ตามนี้
หลังจากที่สร้าง categories แล้ว เวลาที่ผมเขียนบทความใหม่ ผมก็แค่ระบุ category ของบทความนั้นๆ ว่าอยู่ใน category ไหน (เลือกได้มากกว่า 1 หมวดหมู่) การทำแบบนี้จะทำให้ผู้ชมเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ได้สะดวกขึ้น
อีกสิ่งหนึ่งที่ posts มีแต่ pages ไม่มี คือผู้ชมเว็บไซต์สามารถคอมเม้นท์ posts ของคุณได้ ในขณะที่ pages จะไม่มีความสามารถนี้
เนื้อหาที่เหมาะกับการใช้ posts
- บทความทั่วไป
- บทความที่เป็นสาระความรู้
- บทความที่เป็นลักษณะ diary (บันทึกเรื่องราว)
- ประกาศ/ข่าวสารต่างๆ
Pages คืออะไร
Pages คือหน้าเว็บที่ไม่มีการเรียงลำดับวันที่ ไม่มี categories และไม่สามารถคอมเม้นท์ได้
ตัวอย่างหน้าเว็บที่เหมาะกับการใช้ page มีดังนี้
- หน้า Home
- หน้า About (เกี่ยวกับเรา)
- หน้า Contact (ติดต่อเรา)
- หน้า Privacy Policy (นโยบายความเป็นส่วนตัว)
หน้าเว็บประเภทนี้ปกติจะเป็นหน้าเว็บโดดๆ ไม่มีหมวดหมู่เป็นของตัวเอง (จึงไม่ต้องมี categories) และเป็นหน้าเว็บที่ไม่ต้องการให้คนมาคอมเม้นท์ได้
อย่างเว็บผมนี้ในปัจจุบัน มีหน้าเดียวที่เป็น page คือหน้า contact ส่วนหน้าเว็บที่เหลือเป็นแบบ post หมดเลยครับ
สร้างหน้า Home
ปกติแล้วหน้า home ของ WordPress จะมีหน้าตาแบบบล็อก (คือ WordPress จะแสดง posts จากใหม่ไปเก่า) แต่ถ้าคุณไม่ชอบ และอยากสร้างหน้า home ของคุณเอง สามารถทำได้ดังนี้
- สร้างหน้า page ใหม่ขึ้นมาหนึ่งหน้า (Pages >> Add New) หน้านี้จะเป็นหน้า home ของคุณ ให้ตั้งชื่อ title และเขียนเนื้อหาตามต้องการ (WordPress เรียกหน้านี้ว่า Front page)
- สร้างหน้า page ขึ้นมาอีกหน้านึง ใส่ชื่อ title ให้หน้านี้เป็น “บล็อก” (หรือคำอื่นก็ได้) ส่วนเนื้อหาให้เว้นว่างไว้ หน้านี้จะเอาไว้เป็นหน้าแสดง posts ของเว็บไซต์คุณ (WordPress เรียกหน้านี้ว่า Posts page)
- ไปที่เมนู Settings >> Reading
- สังเกต setting ตัวแรก (Front page displays) ให้แก้จาก “Your latest posts” เป็น “A static page” (ดูรูปประกอบด้านล่าง)
- เลือกหน้า Front Page และ Posts page ที่ได้สร้างไว้ในสองขั้นตอนแรก

หน้า home เป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์ ถ้าผู้อ่านต้องการออกแบบหน้า home ให้ดูสวยงาม ก็สามารถทำได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกวิธีทีหลัง (แต่สรุปสั้นๆ คือต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า page builders)
สร้างเมนูให้เว็บไซต์
เมนูทำให้คนเข้าถึงเนื้อหาของเว็บไซต์ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นเรามาสร้างเมนูกันครับ
ที่เมนูของ Dashboard ให้เลือก Appearance ตามด้วย Menus จากนั้นให้ตั้งชื่อเมนู (ของผมตั้งเป็น NoobMarketer Main Menu) และกดปุ่ม Create Menu

หลังจากสร้างเมนู (เปล่าๆ) เสร็จแล้ว ถ้าคุณต้องการใส่เว็บเพจเข้าไปในเมนู ทำให้แบบนี้
มองกล่องด้านซ้ายมือ (ดูภาพประกอบด้านล่าง) คุณจะเห็นเว็บเพจทั้งหลายที่คุณสร้างไว้ ให้คุณติ๊กเลือกหน้าที่ต้องการ และกดปุ่ม Add to Menu (กดเสร็จแล้วให้สังเกตด้านขวามือ จะพบว่าหน้าที่เลือกถูกเพิ่มเข้าไปในเมนู)

คุณสามารถเปลี่ยนตำแหน่งของเมนูได้โดยใช้เมาส์คลิก “รายการเมนู” อันที่ต้องการค้างไว้ (รายการเมนู คือ แท่งสี่เหลี่ยมแต่ละแท่ง ที่อยู่ใต้คำว่า Menu Structure) แล้วลากรายการนั้นขึ้นหรือลงไปไว้ในตำแหน่งที่ต้องการ

ถ้าต้องการแก้ไขรายการเมนูใดก็ตาม (เปลี่ยนชื่อหรือลบรายการเมนู) ให้คลิกที่เครื่องหมายลูกศรชี้ลง

เมื่อกดลูกศรชี้ลงแล้วคุณจะเห็น options เพิ่มเติมตามรูปด้านล่าง คุณสามารถแก้ไขชื่อเมนูได้ตรงช่องใต้คำว่า Natigation Label หรือลบเมนูทิ้งได้โดยกด Remove

หลังจากที่แก้ไขเมนูเสร็จ ให้กดปุ่ม Save Menu เพื่อบันทึก
เมนูไม่จำเป็นต้องมีแต่หน้าเว็บของเราเท่านั้น สมมุติคุณอยากเพิ่มลิ้งค์ของหน้า Facebook แฟนเพจคุณเข้าไปในเมนู (หรือลิ้งค์อะไรก็ได้) คุณก็สามารถทำได้ ดังนี้ครับ
- ให้คลิก Custom Links (ดูรูปประกอบด้านล่าง)
- พิมพ์ URL และตั้งชื่อเมนูตามต้องการ
- กด Add to Menu

หลังจากสร้างเมนูเสร็จแล้ว ให้เลื่อนลงมาตรงที่เขียนว่า Display location ให้คุณติ๊ก Primary Menu แบบในรูปด้านล่าง (นี่คือการบอกให้ WordPress แสดงเมนูนี้ตรงตำแหน่ง Primary Menu หรือ ตำแหน่งของเมนูหลัก)

หากไม่ติ๊กตรง Primary Menu เว็บคุณอาจไม่มีเมนูแสดงขึ้นมาครับ (เสร็จแล้วอย่าลืมกด Save Menu ด้วยครับ)
เว็บคุณมีมากกว่าหนึ่งเมนูได้
WordPress สามารถแสดงได้หลายเมนู ในหลายๆ ตำแหน่ง
ยกตัวอย่างเช่น เว็บไซต์หนึ่งๆ อาจจะเซ็ตอัพเมนูเป็นแบบนี้
- มีเมนูหลักแสดงอยู่ด้านบน (อาจลิงก์ไปหน้าสำคัญๆ อย่าง Home, Services, Contact Us)
- มีเมนูแสดงบทความที่ได้รับความนิยม (popular articles) อยู่ตรง sidebar
- มีเมนูที่ลิงก์ไป social media (Facebook, YouTube, Twitter) อยู่ตรง footer
ซึ่งสิ่งที่กำหนดว่าเว็บคุณแสดงได้กี่เมนู ก็คือธีมที่คุณใช้อยู่นั้นเอง บางธีมรองรับได้แค่เมนูเดียว (คือเมนูหลัก หรือ primary menu) แต่บางธีมก็ออกแบบมาให้แสดงได้หลายเมนู
เนื่องจาก WordPress สามารถมีเมนูได้ในหลายตำแหน่ง เวลาคุณสร้างเมนู คุณต้องระบุค่า display location ของเมนูนั้นด้วยเสมอ ไม่อย่างนั้นเมนูของคุณจะไม่ถูกแสดงขึ้นมาครับ
คุณสามารถเช็คได้ว่าธีมที่คุณใช้อยู่รองรับกี่เมนู โดยไปที่ Appearance >> Menus แล้วกดแท็บ Menu Locations

อันที่จริงต่อให้ธีมคุณระบุว่ารองรับแค่ 1 หรือ 2 เมนู คุณก็ยังสามารถเพิ่มเมนูให้มากกว่านั้นได้ครับ โดยการใช้ฟีเจอร์ของ WordPress ที่ชื่อว่า Widgets
เพิ่มความสามารถพิเศษให้เว็บไซต์ ด้วย Plugins
ปลั๊กอิน (plugins) คือฟังก์ชันการทำงาน “เพิ่มเติม” ที่เราสามารถเพิ่มให้เว็บไซต์ WordPress ของเราได้
อธิบายง่ายๆ ถ้าเปรียบเว็บไซต์ WordPress เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ ปลั๊กอินก็เปรียบเสมือนโปรแกรมที่อยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นๆ (โปรแกรมต่างชนิดกันมีจุดประสงค์ต่างกัน)
การลงปลั๊กอินบน WordPress ก็เหมือนกับการลงโปรแกรมเพื่อตอบสนองความต้องการบางอย่าง
คุณสามารถติดตั้งปลั๊กอินเพื่อทำสิ่งเหล่านี้ได้
- สร้างร้านค้าออนไลน์ (เพิ่มระบบตะกร้าสินค้า)
- ทำเว็บบอร์ด
- เพิ่มปุ่มแชร์ social media
- แบ็คอัพเว็บไซต์อัตโนมัติ
- สร้างแบบฟอร์มติดต่อ
- ฯลฯ
ลง plugins ยังไง
การลงปลั๊กอินทำได้ง่ายมากครับ แค่ไปที่เมนู Plugins >> Add New แล้วเริ่มค้นหาปลั๊กอินที่ต้องการ
วิธีการหา plugins ที่ต้องการมีสองวิธีครับ
- วิธีแรกคือการกดคำว่า Popular หรือ Recommended (ดูรูปด้านล่าง) เพื่อดูรายชื่อ plugins ที่เป็นที่นิยม หรือ plugins ที่ WordPress แนะนำ
- วิธีที่สองคือการใช้ Search box ด้านขวา หา plugins ที่ต้องการ (ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากได้ระบบร้านค้าออนไลน์ คุณอาจพิมพ์คำว่า “shopping cart” ลงไป)

เมื่อเจอ plugin ที่ต้องการ ให้กด Install Now ระบบจะทำการดาวน์โหลด plugin มาที่เว็บไซต์ของคุณ

หลังจากนั้น คุณจะเห็นว่าปุ่ม Install Now เปลี่ยนเป็นคำว่า Activate ให้กดปุ่ม Activate เพื่อเริ่มการทำงานของปลั๊กอิน

การติดตั้งปลั๊กอิน (Install Now) คือการดาวน์โหลดไฟล์ปลั๊กอินมาที่เว็บไซต์ของคุณเท่านั้น (พอดาวน์โหลดเสร็จจะยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น) หากต้องการให้ปลั๊กอินเริ่มทำงาน คุณต้องทำการ activate มันด้วย
พอกดปุ่ม Activate แล้ว คุณจะเห็นว่า Dashboard มีบางอย่างเปลี่ยนไป เช่น อาจมีเมนู settings ใหม่แสดงขึ้นมา นั่นแปลว่าปลั๊กอินเริ่มทำงานแล้วครับ

คุณสามารถดูปลั๊กอินทั้งหมดของเว็บไซต์คุณ โดยไปที่เมนู Plugins >> Installed Plugins ซึ่งในหน้านี้คุณสามารถจัดการปลั๊กอินของคุณได้ ดังนี้
- เริ่มหรือหยุดการทำงานปลั๊กอิน (activate/deactivate)
- อัพเดตปลั๊กอินเป็นเวอร์ชันล่าสุด (update)
- ดูค่า settings ของปลั๊กอิน (ปลั๊กอินบางตัวอาจไม่มี option นี้)
ทำไมต้อง Activate/Deactivate ปลั๊กอิน
ถ้าคุณไปที่เมนู Plugins >> Installed Plugins คุณจะเห็นว่าคุณสามารถ activate/deactivate เพื่อเริ่มหรือหยุดการทำงานของปลั๊กอินได้

คุณอาจสงสัยว่าทำไมต้องมีการ activate/deactivate ปลั๊กอินด้วย มันมีประโยชน์ยังไง
เหตุผลก็คือ ในบางครั้งเราไม่ต้องการให้ปลั๊กอินบางตัวทำงานครับ
ยกตัวอย่างเช่น วันก่อนผมต้องการเพิ่มปุ่มแชร์ social media ให้เว็บผม แต่ผมไม่รู้ว่าจะใช้ปลั๊กอิน social share ตัวไหนดี ผมเลยทดลองติดตั้งปลั๊กอิน social media พร้อมกันสี่ตัวเลย (อยากรู้ว่าอันไหนดีสุด)
ซึ่งตอนที่ทดสอบปลั๊กอินแต่ละตัว ผมจะ deactivate ปลั๊กอินตัวอื่นไปก่อน
ถ้าผมไม่สามารถ deactivate ปลั๊กอินได้ เว็บไซต์ผมก็จะมีปุ่มแชร์ social media เต็มไปหมดเลย (เพราะปลั๊กอินทั้งสี่ตัว จะแสดงปุ่มแชร์ของตัวเอง) และคนที่เข้าเว็บผมตอนนั้นก็จะเห็นปุ่ม social shares เต็มไปหมด (ซึ่งไม่ดีแน่)
อีกตัวอย่างนึง ถ้าอยู่ๆ เว็บคุณโหลดช้าลงมาก และคุณสงสัยว่าอาจเป็นเพราะปลั๊กอินบางตัวใช้ทรัพยากรมากไป คุณก็สามารถลอง deactivate ปลั๊กอินตัวที่น่าสงสัยดูได้ เพื่อดูว่าเว็บจะเร็วขึ้นไหม
นี่แหละครับประโยชน์ของการ deactivate ปลั๊กอิน
เมื่อไรที่ควรอัพเดต plugins
ถ้าเว็บไซต์คุณมีปลั๊กอินอยู่หลายตัว เวลาคุณเข้าไปที่หน้า Installed Plugins คุณอาจเห็นข้อความแจ้งว่าปลั๊กอินออกเวอร์ชันใหม่ และมีลิงก์ให้กดอัพเดต

ครูสอน WordPress หลายคนแนะนำให้อัพเดตปลั๊กอินทันทีที่มีเวอร์ชันใหม่ แต่ส่วนตัวผมไม่ได้อัพเดตบ่อยขนาดนั้น (ถ้าทำตามคำแนะนำนี้ คุณต้องอัพเดตปลั๊กอินบ่อยมาก)
ที่ผมไม่ชอบอัพเดตปลั๊กอินบ่อยๆ เพราะการอัพเดตปลั๊กอินมีความเสี่ยงอยู่ หากเวอร์ชันใหม่เขียนมาไม่ดีหรือมีบั๊ก ก็อาจทำให้เว็บเราพังได้ (ส่วนตัวยังไม่เคยเจอเหตุการณ์นี้)
ด้วยเหตุนี้ ผมมักจะอัพเดตปลั๊กอินต่างๆ เฉพาะหลังจากที่มีการแบ็คอัพเว็บไซต์ (คือพอแบ็คอัพเว็บไซต์เสร็จปุ๊ปก็อัพเดตปลั๊กอินเลย)
ประโยชน์ของการทำแบบนี้คือ ถ้าอัพเดตปลั๊กอินแล้วมีปัญหาขึ้นมา ผมก็สามารถกู้เว็บไซต์กลับเป็นเหมือนเดิมได้ โดยที่ข้อมูลบนเว็บไซต์ก็จะเป็นข้อมูลล่าสุด
เปลี่ยน Theme (ดีไซน์ของเว็บไซต์)
ธีม (theme) คือสิ่งที่กำหนดรูปร่างหน้าตาของเว็บไซต์คุณ หากคุณไม่ชอบดีไซน์ปัจจุบันของเว็บไซต์คุณ คุณสามารถดาวโหลดธีมที่คุณชอบผ่าน Dashboard และเปลี่ยนไปใช้ธีมนั้นได้
เว็บไซต์ WordPress จะมีธีมหนึ่งธีมที่ active (ถูกใช้งาน) อยู่เสมอ ต่อให้เป็นเว็บไซต์ที่พึ่งลง WordPress ใหม่ก็ตาม (เวลาลงใหม่ ธีมที่ใช้งานจะเป็นธีม default ที่มากับตัวไฟล์หลักของ WordPress)
ธีมของ WordPress มีทั้งแบบฟรีและไม่ฟรี ผมจะแสดงวิธีเปลี่ยนธีมแบบไม่เสียเงินก่อนครับ
ก่อนอื่นให้เข้าไปเลือกชมธีมฟรีทั้งหลายก่อน:
- ที่เมนูของ Dashboard กดเลือก Appearance ตามด้วย Themes (ดูรูปประกอบด้านล่าง)
- กด Add New

คุณจะเห็นว่ามีธีมฟรีมากมายให้คุณเลือก หากถูกใจธีมอันไหนให้กด Install เพื่อดาวน์โหลดธีมมาที่เว็บไซต์คุณ หลังจากดาวน์โหลดเสร็จให้กดปุ่ม Activate เพื่อให้เว็บคุณเปลี่ยนไปใช้ธีมที่ดาวโหลดมา (ถ้าไม่ Activate เว็บก็ยังจะใช้ธีมเดิมอยู่นะครับ)

การเปลี่ยนธีมคือการเปลี่ยน “ดีไซน์” ของเว็บไซต์เท่านั้น ไม่ใช่การแก้หรือลบเนื้อหาของเว็บไซต์ หลังจากเปลี่ยนธีมแล้ว เว็บเพจต่างๆ ที่คุณสร้างมาจะยังอยู่เหมือนเดิมไม่หายไปไหน เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าการเปลี่ยนธีมจะทำให้เนื้อหาบางอย่างหายไปครับ
ซื้อ theme พรีเมี่ยมดีไหม?
หากผู้อ่านไม่เจอ theme ฟรีที่ถูกใจ และมีงบสำหรับ theme แบบเสียเงิน ผมแนะนำให้ใช้ theme แบบพรีเมี่ยมไปเลยครับ
การซื้อ theme แทนที่จะใช้ของฟรี มีข้อได้เปรียบหลายข้อครับ
- ถ้าคุณอยากสร้างเว็บที่มีจุดประสงค์เฉพาะเจาะจงมากๆ (เช่น เว็บไซต์ขายของ) theme แบบเสียเงินมักจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า (theme ฟรีส่วนมากมักจะออกแบบมาสำหรับเว็บไซต์แบบ blog ทั่วไป ซึ่งไม่ต้องการฟังก์ชันการทำงานมากมาย)
- Theme แบบเสียเงินมักจะมีคู่มือการใช้งานแถมมาให้ ทำให้เรียนรู้การใช้งานได้ง่าย
- สามารถปรับแต่งเว็บไซต์ได้ง่ายกว่า (theme ฟรี มักมีข้อจำกัดในการปรับแต่งมากมาย)
- หากติดปัญหา สามารถติดต่อ customer support ของเว็บไซต์ที่เราซื้อ theme นั้นๆ ได้
ส่วนตัวผมเอง ผมใช้ธีมพรีเมี่ยมชื่อ GeneratePress กับทุกเว็บไซต์ที่ผมมีครับ เพราะเป็นธีมที่สามารถปรับแต่งได้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น ขนาดตัวหนังสือ, ความกว้างของหน้าเว็บ, สีของเว็บไซต์, layout, ฯลฯ
ถ้าคุณใช้ GeneratePress คุณสามารถ import เว็บไซต์สำเร็จรูปที่ทาง GeneratePress ออกแบบไว้ล่วงหน้าได้ (เว็บเราจะเปลี่ยนเป็นเหมือนเว็บตัวอย่างเป๊ะเลย)

ดูเว็บตัวอย่างของ GeneratePress
พี่ผมพูดถึง GeneratePress ไม่ใช้เพราะอยากให้ซื้อตามผมนะครับ ผมแค่อธิบายให้ฟังว่าธีมแบบ premium มันต่างจากธีมฟรียังไง มีอะไรเพิ่มมาบ้าง (คุณควรหาธีมให้ตรงกับความต้องการเว็บไซต์คุณครับ)
ถ้าคุณอยากเลือกซื้อธีมเอง เว็บไซต์ขายธีมพรีเมี่ยมที่ผมแนะนำมีสามที่ครับ
- MyThemeShop – เว็บขายธีมคุณภาพสูง ธีมใช้งานง่าย ออกแบบมาให้กินทรัพยากรน้อย เน้นความเร็วของเว็บไซต์ ธีมที่นำมาขายผ่านการรีวิวจากทีมงานอย่างละเอียด
- Elegant Themes – เว็บขายธีมดีไซน์หรูหรา ธีมมีการอัพเดตเพิ่มฟีเจอร์ใหม่อยู่เสมอ
- ThemeForest – เป็นเว็บที่มีธีมให้เลือกเยอะมากๆ เหมาะกับคนที่ต้องการตัวเลือกเยอะๆ
ปรับแต่งดีไซน์เว็บไซต์ด้วย Customizer
หลังจากเลือกธีมที่ชอบแล้ว เราสามารถปรับแต่งดีไซน์ของเว็บไซต์เพิ่มเติมได้ครับ โดยใช้สิ่งที่เรียกว่า Customizer
วิธีเข้า Customizer มีสองช่องทาง ทางแรกคือที่ Dashboard ให้เลือกเมนู Appearance >> Customize
อีกทางหนึ่งคือ หากคุณอยู่ส่วนผู้เยี่ยมชมของเว็บ เช่น หน้าโฮม คุณจะเห็นแถบสีดำด้านบนสุด ให้กด “ปรับแต่ง” (แถบสีดำนี้จะแสดงเมื่อคุณล็อกอินอยู่เท่านั้น)

พอเปิด Customizer ขึ้นมา คุณจะเห็นเมนูสำหรับปรับแต่งด้านซ้ายมือ และตัวอย่าง preview ด้านขวา

สิ่งที่ผมชอบใน Customizer คือ เมื่อคุณปรับแก้อะไรซักอย่างผ่านเมนูด้านซ้าย คุณจะเห็นผลลัพธ์ทันทีที่ส่วน preview ด้านขวา (ลองเล่นดูได้ครับ)
เมื่อปรับแต่งเสร็จแล้ว คุณก็แค่กดปุ่ม Publish ตรงด้านบนสุดของเมนู สิ่งที่แก้ไขไปก็จะมีผลทันที หรือถ้าต้องการยกเลิกให้กดกากบาท

คุณสามารถจำลองการแสดงผลบนมือถือหรือแท็บเล็ตได้ด้วย โดยกดเลือกไอคอนมือถือหรือแท็บเล็ต ด้านล่างสุดของเมนู (มีประโยชน์มากๆ ผมใช้เสมอเลย)

เราสามารถใช้ Customizer ปรับแต่งอะไรได้บ้าง
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับธีมที่ใช้ครับ
ถ้าคุณซื้อธีม premium มาใช้ ก็อาจจะมีตัวเลือกให้ปรับแต่งได้เยอะหน่อย แต่ถ้าใช้ธีมฟรีก็อาจจะปรับแต่งได้น้อยกว่า (เพราะฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าเมนูปรับแต่งของคุณไม่เหมือนของผม)
เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพ ด้านล่างคือ options สำหรับแก้ colors ของธีม Twenty Seventeen ซึ่งเป็นธีมฟรีที่แถมมากับ WordPress

ส่วนด้านล่างคือ options ปรับแก้ colors ของธีม GeneratePress — ธีม premium ที่ผมใช้ (ธีมนี้มีเวอร์ชันฟรีด้วย แต่มีความสามารถน้อยกว่าเวอร์ชัน premium)

จะเห็นได้ว่า options ปรับแต่งของ GeneratePress มีตัวเลือกเยอะกว่ามาก นี่ก็เป็นข้อดีของธีมแบบ premium ครับ
ถึงแม้ธีมที่เราใช้จะไม่มีเมนูสำหรับ customize องค์ประกอบบางอย่างของเว็บ เช่น ขนาดตัวอักษร แต่เราก็ยังสามารถ customize มันได้อยู่ดีครับ วิธีการก็คือเราต้องใส่โค้ด CSS เข้าไปในเว็บเรา (CSS เป็นภาษาสำหรับกำหนดการแสดงผลของเว็บเพจ) ซึ่งตรงนี้อาจจะยากสำหรับคนทั่วไป ปกติเค้าเลยมักจะจ้าง freelance หรือ web designer ให้ทำให้ครับ
เพิ่มอะไรก็ได้ใน sidebar หรือ footer ด้วย Widgets
เวลาคุณติดตั้ง WordPress ใหม่ๆ คุณอาจเห็นว่า ตรง sidebar หรือ footer มันมีอะไรก็ไม่รู้เต็มไปหมด แบบในรูปข้างล่าง

เราเรียกสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในกรอบสีแดงว่า widget ครับ
โดยคุณสามารถเพิ่มหรือลบ widget โดยการเข้าไปที่ Customizer แล้วเลือก Widgets มันจะแสดงตำแหน่งต่างๆ ที่คุณสามารถเพิ่มหรือลบ widget ได้ (เรียกว่า widget area)

อย่างในรูปด้านบน widget area (ตำแหน่งที่สามารถใส่ widget ได้) มีอยู่จุดเดียวคือ sidebar ถ้าผมกดเลือกเข้าไปก็จะสามารถปรับแต่ง widget ในตำแหน่ง sidebar ได้

ในรูปด้านบน คุณสามารถปรับแต่งหรือลบ widget บางตัวออกโดยการกดเครื่องหมายลูกศรชี้ลง หรือถ้าอยากเพิ่ม widget ตัวใหม่เข้าไปใน widget area ก็ให้กดปุ่ม Add a Widget
ถ้าคุณลองกดปุ่ม Add a Widget คุณจะเห็นว่า widget เนี่ยมันมีหลากหลายประเภทมาก

คำอธิบาย widget บางประเภทที่เจอบ่อยๆ
- Archives แสดง list เดือนต่างๆ (October 2019, November 2019, …) พอกดเข้าไปที่เดือนไหนก็ตาม ก็จะแสดง posts ที่คุณ publish ในเดือนนั้นๆ (widget อันนี้ WordPress มันชอบใส่มาให้เอง แนะนำให้เอาออก เพราะผมว่าไม่มีประโยชน์เท่าไหร่)
- Categories แสดงหมวดหมู่ของ posts ทั้งหมดของคุณ พอกดเข้าไปที่หมวดหมู่ไหน ก็จะแสดง posts ที่อยู่ในหมวดหมู่นั้น
- Custom HTML ถ้าต้องการใส่โค้ด HTML อะไรก็ตาม ให้ใช้ widget นี้
- Image แสดงรูปภาพ โดยสามารถกำหนดให้ลิงก์ไป URL อะไรก็ได้ (เหมาะกับการแสดงโฆษณา)
- Meta แสดงลิงก์ไป WordPress.org และลิงก์ไป Dashboard (widget อันนี้ WordPress มันชอบใส่มาให้เอง แนะนำให้เอาออก)
- Navigation Menu สามารถใส่เมนูอะไรก็ได้ที่คุณสร้างขึ้นมา (อย่างเว็บอันหนึ่งของผม ผมสร้างเมนูที่ลิงก์ไปบทความสำคัญๆ แล้วก็เอาเมนูนี้มาแสดงที่ sidebar)
- Recent Posts แสดงบทความล่าสุดของคุณ (กำหนดได้ว่าจะให้แสดงกี่บทความ)
- Search แสดงกล่องค้นหา
- Text แสดงข้อความอะไรก็ได้
นอกจาก widget ที่มาตัว WordPress แล้ว เวลาคุณติดตั้งปลั๊กอินบางประเภท คุณก็ได้จะได้ widget เพิ่มมาด้วย อย่างในรูปด้านล่างคือ widget สำหรับให้ผู้เยี่ยมชมกรอกอีเมลเพื่อ subscribe (แถมมากับปลั๊กอินประเภท newsletter)

Widgets เป็นอีกช่องทางในการปรับแต่งเว็บ WordPress ให้มีหน้าตาตามที่ต้องการ ลองไปเล่นกันดูครับ
สร้างเว็บเพจสวยๆ แบบมืออาชีพด้วย Page Builder
ปกติแล้ว เวลาที่คุณสร้างหน้า post หรือ page ใหม่ คุณจะได้หน้าเว็บหน้าตาเรียบๆ ธรรมดาๆ
ถ้าคุณอยากได้หน้าเว็บที่ดูสวยกว่านั้น (อย่างหน้าสอนทำเว็บไซต์) คุณต้องใช้ page builder ครับ
Page builder คือ plugins ประเภทหนึ่งใน WordPress ที่ทำให้เราสามารถออกแบบหน้าเว็บเพจ “ได้อย่างอิสระ” (คือเราสามารถกำหนดให้มี layout อย่างไรก็ได้)
Page builder ใช้งานง่าย เพราะเป็นโปรแกรมแบบลาก-วาง (drag & drop) คนทั่วไปที่ไม่ใช่ web designer ก็ใช้ได้

เรานิยมใช้ page builder เวลาสร้าง home page หรือหน้าสินค้า เพราะหน้าเว็บพวกนี้มักต้องการดีไซน์ที่สวยงามและโดดเด่น
Page builder ที่ผมแนะนำ (เพราะใช้อยู่) ชื่อว่า Elementor สามารถดาวโหลดได้โดยไปที่เมนู Plugins >> Add new จากนั้นค้นหาคำว่า Elementor

Elementor มีทั้งเวอร์ชันฟรีและเสียเงิน (แบบเสียเงินก็จะมีความสามารถต่างๆ เพิ่มขึ้นมา) ส่วนตัวผมใช้แต่แบบฟรี เพราะคิดว่ามันมีความสามารถมากเพียงพอแล้ว
สำหรับวิธีการใช้งาน Elementor นั้น ผู้อ่านสามารถอ่านบทความ สอนสร้างเว็บเพจด้วย Elementor Page Builder ได้เลยครับ
จบการสอน WordPress
จบแล้วครับสำหรับการสอนวิธีใช้ WordPress
เนื่องจาก WordPress เป็นโปรแกรมที่มีฟังก์ชันการทำงานเยอะมาก ผมจึงไม่สามารถสอนทุกอย่างได้
แต่ทุกสิ่งที่ผมสอนในบทความนี้ ผมมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ WordPress ทุกคนควรจะเรียนรู้จริงๆ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านนะครับ
ขอบพระคุณมากครับ จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับงานที่ทำให้กับประชาชนต่อไปครับ….โมทนาบุญด้วยครับ
ยินดีครับผม หวังว่าบทความนี้จะทำให้คุณสาธิตเข้าใจ WordPress มากขึ้นนะครับ 🙂
ควรใช้ mac หรือ pc ในการทำเว็บดีกว่ากันคะ
ใช้อะไรก็ได้ครับ การสร้างเว็บมันง่ายมาก คอมพิวเตอร์ทั้งสองประเภททำได้ไม่ต่างกันครับ เพราะฉะนั้นมีอะไรก็ใช้อันนั้น (หรือจะใช้สลับกันก็ไม่มีปัญหา สบายมากครับ)
ซื้อเว็ปโฮสติ้งกับโดเมน จากเวปเดียวกันค่ะ goddady. ไม่แน่ใจว่า Connect ระหว่าง hosting And domain แล้วใช่มั้ยค่ะ ต้องเช็คแบบไหนได้บ้างคะ
แต่ได้ลง WordPress แล้วค่ะ อยู่ขั้นตอนเริ่มสร้างอยู่.
สงสัยอยู่ว่า ทำไม พอลองเข้าไปคีย์ชื่อเวปที่แถบดู มันไม่ขึ้นหน้าเวปเรา แต่ก้อไม่มีข้อความปฏิเสธ ทั้งที่ได้คลิกที่เผยแพร่แล้ว (เข้าได้แต่ช่องทาง dashboard )
แต่พอคีย์ http://www.myweb.com ส่งข้อความให้เพื่อน.เพื่อนกลับเข้าไปเปิดแล้วเห็นได้คะ. รบกวนด้วยค่ะ. ขอบคุณมากสำหรับความรู้ ทำตามคุณเลย เข้าใจได้ง่ายพอสมควรสำหรับคนเริ่มต้น ดีมากค่ะ??
ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าเป็นเพราะอะไร แต่เคยเจอปัญหาคล้ายๆ กันคือ หลังจากย้ายเว็บไปโฮสใหม่เสร็จแล้ว ลองใช้ Google Chrome เปิด URL ดูพบว่าเว็บไม่ขึ้น แต่พอลองใช้ FireFox หรือใช้มือถือเปิด ก็สามารถดูเว็บได้ตามปกติ ที่ผมแก้คือเคลียร์แคชของ Google Chrome โดยเข้าไปที่เมนู History >> Clear Browsing Data >> จากนั้นกดเลือก Cached images and files (ไม่ต้องติ๊กตัวเลือกอื่น) หลังจากนั้นก็สามารถเข้าเว็บได้ตามปกติครับ
ขอบคุณครับ ผมกำลังลองใช้ Bitnami wordpress ครับ รู้สึกถึงความง่าย
สอบถามดังนี้ครับ
1) ใช้Wordpress สร้างWeb การแสดง Web ที่สร้างบน PC, I pad และ Mobile Phone จะแสดง ผล เหมือน กันไหม การแสดงผล บน. มือถือ. จะถูก จัด หน้าจอให้ แตกต่างไหม ครับ
2) วิธีการ import Gallery และ update event ใหม่ๆ ทำอย่างไรครับ
3) มี Updating posting โดยเปลี่ยน Logo และ images ดูเหมือนว่า size ของ Logo และ images จะถูกเปลี่ยนเอง ตาม size ที่ สร้าง Home pages. ตั้งแต่ต้น
ขอบคุณครับ
Ken
1) ขึ้นอยู่กับ theme ที่เราใช้ครับ theme ใหม่ๆ ส่วนมากจะปรับขนาดของหน้าเว็บให้เหมาะกับอุปกรณ์ที่ใช้แสดงผลโดยอัตโนมัติครับ
2) การ import รูปเข้ามาที่ WordPress เราก็แค่เลือกเมนู Media >> Add New จากนั้นเลือกรูปภาพที่ต้องการได้เลยครับ แต่ผมไม่เข้าใจเรื่อง update event ว่าหมายถึงอะไรครับ
3) ผมไม่เคยเจอปัญหานี้เลยนะครับ รูปภาพในหน้าเพจของผมเป็นขนาด custom ทั้งหมด แต่ผมก็ update posts/pages ได้โดยที่ขนาดรูปภาพยังเหมือนเดิมนะครับ
ขอบคุณ มั๊ก ๆ ครับ เป็นประโยชน์จริง ๆ สำรับมือใหม่
ขอบคุณมากค่ะ จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับงานที่ค่ะ
เพิ่งเริ่มทำตามเลยค่า
พอดีตอนนี้ติดค่ะ คือ โหลด Theme ฟรี มาตอนแรกเลย แต่ตอนนี้อยากทำเองใหม่หมด
new page ให้เป็นค่าเริ่มต้นโล่งๆ ไม่ได้ค่ะ เหมือนว่าจะติดค่าของ ตีมเดิมมาอยู่
แก้ไขอย่างไรดีคะ ลองลบทุกอย่างออกหมด page ต่างๆลบออกหมด แต่ยังติดตีมเดิมอยู่ค่ะ
ลบค่าตีมออกได้ไหมคะ
หลังจากดาวน์โหลดธีมมาแล้ว ได้กดปุ่ม Activate ธีมที่โหลดมาหรือยังครับ ถ้ายังมันจะเห็นเป็นธีมเดิมอยู่
ปล. ผมไม่แน่ใจว่า “ติดค่าของตีมเดิม” หมายถึงอย่างไรนะครับ ถ้าคำแนะนำข้างบนช่วยแก้ปัญหาไม่ได้ รบกวนพิมพ์รายละเอียดเพิ่มเติมหน่อยครับ
ถ้าอยากยกเลิก Theme ได้ไหมคะ ยกเลิกธีมทุกอันเลยเป็นโล่งๆแบบค่าตั้งต้นน่ะค่ะ
คุณ Ann เข้าใจผิดนะครับ เว็บไซต์ WordPress จะมีธีมหนึ่งธีมที่ active (ถูกใช้งาน) อยู่เสมอ ต่อให้เป็นเว็บไซต์ที่พึ่งลง WordPress ใหม่ก็ตาม (เวลาลงใหม่ ธีมที่ใช้งานจะเป็นธีม default ที่มากับตัวไฟล์หลักของ WordPress)
แต่ถ้าอยากให้ทุกอย่างกลับไปเหมือนตอนลงใหม่ ให้ไปที่ Dashboard เลือกเมนู Updates (อยู่ใต้คำว่า Home) จะเห็นคำว่า If you need to re-install version 4.9.X, you can do so here ให้กดปุ่ม Re-Install Now ครับ
5555 ค่อนข้างสับสนมากจริงค่ะ
ขอบคุณสำหรับข้อมูลละเอียดมาก ทำตามได้ stpe by step เลยค่ะ
WordPress สามารถทำระบบ Booking ได้มั้ยคะ เช่นการจองที่พัก จองรถ ประมาณนี้อ่ะค่ะ
สามารถทำได้ครับ โดยการใช้ plugin หรือ theme สำหรับ booking เช่นปลั๊กอิน WP Hotel Booking (จองที่พัก) หรือธีม Car Rental (จองรถ) แต่ถึงจะมีปลั๊กอินหรือธีมช่วยอำนวยความสะดวก การทำให้เว็บให้ทำงานอย่างที่เราต้องการอาจจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญเยอะหน่อยครับ บางกรณีอาจต้องใช้ web developer ช่วยด้วย (ขึ้นอยู่กับว่าอยากได้ระบบที่ซับซ้อนมากแค่ไหน)
ขอบคุณครับที่แบ่งปัน เป็นสิ่งหนึ่งที่ดีมากสำหรับผมและขอให้ทำสิ่งนี้ต่อไป ผมหวังว่าครูก็จะต้องได้รับสิ่งที่ดีมากมายเช่นกันกับความประทับใจที่ทุกคนได้รับจากครูนะครับ
ได้จ้างคนทำเว็บให้เวิร์ดเพรสเหมือนกัน คนเขียนสร้างเมนูเป็นภาษาอังกฤษ (home, product, ฯลฯ) พอบอกให้เขาเปลี่ยนเป็นภาษาไทย (หน้าแรก, สินค้า, …) เค้าบอกว่าเปลี่ยนไม่ได้ค่ะ มีวิธีมั้ยค่ะ
เปลี่ยนได้นะครับ ผมอัพเดทเนื้อหาให้มีส่วนที่อธิบายวิธีแก้ไขชื่อเมนูแล้วครับ (พร้อมรูปประกอบ) ลองอ่านส่วน สร้างเมนูให้เว็บไซต์ อย่างละเอียดดูครับ มีวิธีบอกไว้
ขอบคุณมากๆเลยนะค่ะ มีคร์อสเรียนมั้ยค่ะ ไม่ใช้วีดีโอนะคะ ขอบคุณอีกคร้ัง
ไม่มีเลยครับ
เนื้อหาเขียนดีมากๆเลยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ
กำลังลองทำเว็บไซต์ตัวเองอยู่ 2 วันแล้ววนๆอยู่หน้า home อยู่เลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ
จะลองนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ค่ะ
ขอบคุณอาจารย์ครับ รายละเอียดดีมากครับ เข้าใจง่าย เนื้อหาครบครับ
สอบถามหน่อยครับว่าสร้าง website จาก wordpress ขึ้นมาแล้ว แต่เวลา search ใน google ไม่เจอชื่อ website จะมีวิธีการอย่างไรบ้างครับในการทำให้ชื่อนั้นขึ้นที่ google
จริงๆ คือไม่ต้องทำอะไรเลยครับ เพราะ Google สามารถค้นหาและ index เว็บที่พึ่งถูกสร้างใหม่ได้เอง แค่รอเวลาหน่อยเท่านั้น (ถึงจะไม่มีเว็บอื่นลิงก์มาหาเว็บคุณ Google ก็หาเว็บคุณเจอครับ) ให้โฟกัสไปที่การเขียนเนื้อหาให้เว็บ ซักพักเว็บของคุณก็จะปรากฏใน Google โดยอัตโนมัติเองครับ
เนื้อหาดีมากๆครับ ละเอียดStep by Step และเข้าใจง่าย ขอบคุณกับการแชร์ที่เป็นประโยชน์
ขอบคุณสำหรับความรู้ค่ะ อ่านแล้วอธิบายละเอียดมากค่ะ ว่างๆ อยากลองทำบล๊อคของตัวเองบ้าง ขอสอบถามเิ่มเติมว่าเราสามารถลงโปรแกรม WordPress มากกว่า 1 เครื่อง คือทั้งใน pc โน๊ตบุ๊ค และมือถือได้มั้ยคะ และโปรแกรมนี้มีธีมสำเร็จรูปสำหรับมือใหม่มั้ยคะ
คือโปรแกรม WordPress มันจะรันอยู่บน web hosting ของคุณครับ ไม่ต้องติดตั้งอะไรบนคอมหรือมือถือ เราสามารถเข้าไปใช้งานผ่าน web browser ได้ทั้งจาก pc และมือถือครับ โปรแกรมมีธีมสำเร็จรูปให้ใช้ครับ
ละเอียด เข้าใจง่าย มีประโยชน์มาก
ขอบคุณมากครับ
ถ้าต้องการสร้างเหมือนห้องให้มีสมาชิกเจ้ามาคุยกันก็ต้องสร้างเว็บก่อนใช่มั้ยคะ
ใช่เลยครับ ให้สร้างเว็บเปล่าๆ ขึ้นมาก่อน แล้วค่อยลงปลั๊กอินสำหรับให้สมาชิกคุยกันได้ครับ